เรื่องเล่าจากตัวฉัน… “จากเม็ดยาสู่ฟ้ากว้าง”


กรุงเทพมหานคร ประเทศไทยเมื่อ 9ปีก่อน
ในจุดเริ่มต้น… มันเกิดขึ้นตอนที่ฉันก้าวเข้าสู่การทำงานเภสัชกรเป็นปีที่ 3
ขณะที่ฉันกำลังมีความรู้สึกดีที่ได้ทำงานผลิตยาเพราะมันเป็นความตั้งใจสำคัญที่ทำให้ฉันเลือกเรียนเภสัชศาสตร์บัณฑิต ฉันก็ใช้ชีวิตในทุก ๆ วันด้วยความรู้สึกราวกับว่า ‘ได้ใช้ชีวิตจริงอยู่ในความฝันที่มันขรุขระและรายล้อมไปด้วยเพื่อนร่วมทางที่ดีด้วยความเคยชิน’ แต่อีกด้านของความคิดฉันเกิดมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ
‘ทำไมโลกของเรามันถึงได้แคบแบบนี้?’
ที่ฉันรู้สึกเช่นนั้นเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับย้อนไปนานหลายปี ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ฉันยังเป็นเพียงเด็กหญิงที่เกิดและเติบโตที่ต่างจังหวัด ชีวิตของฉันมันมีเพียงความมุ่งมั่นเพื่อให้ได้เข้ามาในเส้นทางของการเป็นเภสัชกรสายงานการผลิตยาในสักวันหนึ่ง แล้วตลอดระยะเวลานั้น… ฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวในเส้นทางอื่นเลย
ชีวิตของฉันในตอนนั้น ไม่เคยผ่านแม้กระทั่งประสบการณ์การหางานทำ เพราะในตอนนั้นฉันเป็นเภสัชกรในรุ่นที่เรียนจบแล้วมีการใช้ทุน สิ่งที่ฉันได้ทำมีเพียงการสัมภาษณ์พูดคุยเล็กน้อยเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นฉันก็ได้ทำงานในฝันเลย ฉันได้มันมาตั้งแต่ก่อนเรียนจบอย่างเป็นทางการเสียด้วยซ้ำ
และขณะที่ฉันกำลังตั้งคำถามกับชีวิตที่เพิ่งจะผ่านพ้นเบญจเพสมาว่า โลกของฉันมันแคบเกินไปไหม? สายการบินแห่งหนึ่งก็เปิดสอบแอร์โฮสเตสพอดี แล้วในทันทีที่เห็นฉันก็ตัดสินใจเลยว่า “ฉันจะสอบแอร์โฮสเตส”
แต่จะทำอย่างไรล่ะ?
เมื่อตลอดทั้งชีวิตฉันไม่เคยมีประสบการณ์อะไรในเส้นทางการบินมากกว่าการเคยเป็นผู้โดยสารเครื่องบินมา 1 ครั้งถ้วน ในส่วนของ Passport สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศฉันก็ยังไม่มี เรื่องของความเข้าใจในอาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเหรอ? ก็เกือบจะเป็นศูนย์
ในจุดเริ่มต้น…
ฉันแทบจะไม่รู้อะไรในท้องฟ้า
ชีวิตของฉันมันมีแต่ยาและการป่วยไข้
.
.

หลังจากที่ฉันตั้งใจว่าจะพาตัวเองไปสู่สนามการสอบแอร์โฮสเตส โลกของฉันมันก็เปลี่ยนไป
เวลาที่ฉันบอกใคร ๆ ใกล้ตัวว่ากำลังจะทำอะไร Feedback ส่วนใหญ่ที่ได้รับกลับมาคือ ‘ฉันว่ามันไม่ดีหรอก เธอเป็นเภสัชฯนั้นดีอยู่แล้ว อย่าเสียเวลาไปสอบแอร์โฮสเตสเลย’
บางคนก็พูดกับฉันตรง ๆ ว่า ‘คนที่จะเป็นแอร์ฯได้ อย่างน้อยคือต้องสวยนะ’
เรียกได้ว่า การบอกใคร ๆ รอบตัวว่า ฉันจะสอบแอร์โฮสเตส มันแทบจะมีแต่ Feedback สนับสนุนให้ฉันอยู่ในวิชาชีพเภสัชกรรมต่อไปตั้งแต่วันที่ฉันยังไม่ได้เริ่ม
แต่พอฉันเข้าสู่กระบวนการสอบแล้วได้เจอเพื่อนใหม่ในสนามสอบ หลายคนก็บอกฉันว่า ‘เธอเป็นเภสัชกรมา ฉันว่า…เธอต้องสอบแอร์โฮสเตสได้แน่นอน’
นั่นคือความคิดเห็นในส่วนของคนอื่น แต่ในความคิดเห็นในมุมของฉัน…
ฉันก็คิดเหมือนหลายคนว่า ในตอนนั้นฉันไม่น่าจะผ่านการสอบไปได้ อย่าว่าแต่ความฝันถึงวันที่จะได้เป็นแอร์โฮสเตสเลย แค่ในส่วนของเอกสารที่ฉันต้องยื่นเพื่อทำการสมัครซึ่งมันต้องมีผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษหรือ TOEIC ด้วยนั้นมันก็ยากมาก ๆ แล้ว นั่นยังไม่นับรวมคุณสมบัติทางกายที่ฉันเข้าข่าย ‘อ้วนเกินไปในสายงานนี้’
เมื่อมีอุปสรรคเข้ามาหลายอย่าง ฉันก็เริ่มต้นจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องพัฒนา แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจว่า ‘จะเริ่มต้นจากเรื่องของภาษาเป็นอันดับแรก’
เหตุผลที่คิดเช่นนั้น เพราะในระยะเวลาไม่กี่วันหลังจากที่ฉันเห็นประกาศรับสมัคร หากฉันไม่มีผลสอบ TOEIC ที่ได้คะแนนสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ ฉันก็จะไม่ได้ทำแม้กระทั่งการยื่นใบสมัคร
แต่จะทำยังไงล่ะ… เมื่อทักษะภาษาอังกฤษของฉันในตอนนั้นคือค่อนข้างแย่ ฉันรู้สึกว่า ที่ผ่านมาฉันสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้แค่อ่าน Textbook และพูดคุยสื่อสารกับคนไข้ในบริบทของวิชาชีพเท่านั้น การต้องสอบ TOEIC ให้ได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 600คะแนน สำหรับฉันนั้นมันคือยากมาก ๆ เลยล่ะ
.
.

แต่เพราะความตั้งใจว่า ‘ไม่ว่าตอนนี้ฉันจะเป็นยังไง ฉันจะไม่สวย ฉันจะน้ำหนักเกิน ฉันจะอ่อนภาษาอังกฤษ หรือฉันจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนอกวงการแพทย์มากแค่ไหน แต่ฉันก็จะทำให้มันเต็มที่ เพราะโอกาสที่เกิดขึ้นนี้มันอาจจะมีแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และฉันก็ไม่ยอมให้มันผ่านไปโดยที่ไม่ได้สู้!’
เมื่อมีความตั้งใจแบบนั้นฉันจึงพยายามจัดสรรเวลาว่างที่พอจะมีจากงาน Full-time ที่โรงงานผลิตยาและ Part-time ที่โรงพยาบาลเพื่อการเตรียมตัวสอบวัดระดับภาษาอังกฤษให้ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ
แล้วตอนนั้นนั่นแหละที่เป็นจุดพลิกผันให้ชีวิตฉันเปลี่ยนจากการใช้ชีวิตในแวดวงของยามาเป็นท้องฟ้า
.
.
“จากเม็ดยาสู่ฟ้ากว้าง” เรื่องเล่าจากตัวฉัน
ทุกเช้าวันอาทิตย์ เวลา 8.00น.
เริ่มตอนแรก 24 กรกฎาคม 2565